Support
Suprememhc
093-395 0353 , 02-741 9597, 02-346 9593
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ
userfiles/profile-picture/b99c72a5-ad87-48a8-ac36-ac0c76e5eff3/suprem02.jpg

Post : 2013-07-30 18:35:06.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  อโรมาเทอราปีบำบัด กับการค้นหาร่างกาย จิตใจ จิตวิญญาณ

 ค้นหาร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ 

จากกลิ่นบำบัดในอโรมาเทอราปี

 

อโรมาเทอราปี (Aromatherapy)  เป็นทั้งการสำรวจ  คิดค้นความสร้างสรรค์  และความรู้เชิงเทคนิคในแง่ปฏิบัติ  การสร้างสรรค์มาจากการเข้าใจคุณลักษณะของ น้ำมันหอมระเหย  ( Essential Oils ) และจินตนาการว่ากลิ่นที่มีความแตกต่างกัน  สามารถผสมผสานกลิ่นแปลกใหม่ได้อย่างไร  ในแง่วิทยาศาสตร์ส่วนประกอบน้ำมันหอมทางเคมีเหล่านี้ยังมีปฏิกิริยาต่อร่างกาย  จิตใจ  และจิตวิญญาณอีกด้วย

 

 

"ด้านจิตใจ"

น้ำมันหอมระเหยชนิดต่าง ๆ สามารถออกฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทและส่งผลไปยังความรู้สึก ลักษณะทางเคมีของน้ำมันหอมระเหยเปรียบเหมือนกุญแจใจในการไขไปสู่ภายในโดยผ่านทางจมูก กลิ่นหอมของอโรมาเทอราปี Aromatherapy  สามารถส่งไปตามระบบต่าง ๆ โดยเฉพาะในส่วนที่เก็บความรู้สึกและอารมณ์ไว้ในระบบที่แตกเป็นแขนงในร่างกาย แล้วจะปล่อยไปสู่ระบบของส่วนที่มีผลกระทบต่อประสาท การสูดดมน้ำมันหอมระเหยค่าง ๆ จะช่วยปรับสภาพอารมณ์ให้อยู่ในสภาวะคงที่และยังส่งผลต่อการรักษาส่วนต่าง ๆ ทีเกี่ยวกับร่างกายโดยเฉพาะช่วยลดความเครียด

 

ตัวอย่างหนึ่งของการใช้น้ำมันหอมระเหยที่สามารถลดความเครียดได้เป็นอย่างดี คือการหยดน้ำมันหอมระเหยคาโมไมล์  (Chamomile) ลงบนผ้าเช็ดหน้า 2-5 หยด และสูดดมเป็นประจำ เป็นเพราะว่าน้ำมันนี้ระเหยง่ายในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ

 

นอกจากนั้ยังสามารถใช้ตะเกียง ซึ่งมีลักษณะส่วนบนเป็นถ้วยเซรามิคเล็ก ๆ ให้เติมน้ำมันหอมระเหยต่างๆ ผสมกับน้ำ และลนด้านล่างของถ้วยนั้นด้วยเทียนหรือหลอดไฟ เพื่อให้น้ำมันหอมระเหยออกมา

จาการทดลองใช้น้ำมันหอมระเหยในบริเวณที่นั่งรอของคนไข้พบว่า ช่วยให้คนไข้มีความกระชุ่มกระชวย สดชื่น และเมื่อจุดไว้ในสำนักงาน ยังจะช่วยลดอาการง่วงซึมจากอาหารกลางวันได้อีกด้วย ทำให้มีพลังในการทำงาน ซึ่งส่วนมากจะใช้น้ำมันหอมระเหยกลิ่น Pepermint และกลิ่นมะนาว

 

"ด้านร่างกาย"
ไม่เพียงแค่น้ำมันหอมระเหยกลิ่นต่าง ๆ สามารถช่วยผ่อนคลายด้านจิตใจแล้วยังช่วยทางด้านร่างกายอีกด้วยน้ำมันหอมระเหยยังสามารถซึมเข้าทางผิวหนังได้ โดยมันจะส่งไปยังต่อมของเส้นขนโดยเดินทางผ่านตามเซลล์ต่าง ๆ และไปยังต่อมไขมัน  น้ำมันหอมยังสามารถทำให้ผิวหนังสะอาดและสดชื่นตลอดเวลา

 

น้ำมันหอมระเหย สามารถใช้รักษาโรคด้วยวิธีการนวดได้ โดยการนำไปผสมในลูกประคบและผสมในการใช้ในการอบไอน้ำที่บริเวณใบหน้าและผสมในน้ำที่แช่ไว้สำหรับอาบ แต่น้ำมันหอมระเหยควรจะมีการทำให้เจือจางก่อนที่จะใช้ อีกทั้งน้ำมันหอมที่สกัดได้มาจากผัก เช่น  น้ำมันหอมระเหยที่สะกัดจากเมล็ด Almond และ Jojoba  สามารถประยุกต์ในการแช่น้ำไว้อาบและรักษาสุขภาพ โดยผสมให้เจือจางประมาณ 2-3% จะช่วยลดความตึงเครียดในแต่ละวันได้เป็นอย่างดี

 

น้ำมันหอมนอกจากจะช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดของร่างกายและจิตใจได้แล้ว น้ำมันหอมระเหยยังมีประโยชน์ต่อผิวหนังอีกด้วย เพราะผิวหนังเป็นส่วนที่มีความสลับซับซ้อนและไวต่อความรู้สึก ผิวหนังยังเปรียบเสมือนเครื่องควบคุมระบบภายในนั้นเองและยังป้องกันตัวเราจากสิ่งอันตรายภายนอกและมลพิษต่าง ๆ หลายคนมีปัญหาเกี่ยวกับผิวหนังอุดตัน เราอาจใช้น้ำมันกลิ่น Lavender ปรับสภาพความมันของผิวและขจัดสิ่งสกปรกที่อุดตันรูขุมขนออกไป และยังสามารถช่วยบรรเทาและปรับสภาพผิวแห้งกลับมาชุ่มชื่น ซึ่งผิวแห้งเกิดจาการขาด Sebum (สารไขมันที่ขับออกจากต่อมผิวหนัง) มากกว่าปกติ  อาจเกิดจากการใช้ ครีมบำรุงผิวที่มีค่าต่ำกว่ามาตรฐาน ผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับผิวหนัง แต่สามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ด้วยน้ำมันหอมระเหย

 

"ด้านจิตวิญญาณ"
ประโยชน์ที่ได้รับจากกลิ่นของน้ำมันหอมระเหยของแต่ละกลิ่นนั้น ผสมผสานเข้ากันได้เป็นอย่างดีเมื่อใช้กับสูตรต่างๆ  เปรียบเหมือนกับการสวดอ้อนวอนหรือการขอพรบางประการ อีกทั้งยังสามารถช่วยในเรื่องของความรู้สึกนึกคิด ซึ่งสามารถที่จะทำให้สมองมีความคิดสร้างสรรค์

 

ส่วนน้ำมันที่ได้จากกำยานนั้นได้ถูกนำมาใช้ตั้งแต่อดีตกาล  ชวยในการทำงานของความสัมพันธ์ระหว่างระบบภายในและภายนอก รวมทั้งกลิ่นหอมที่ได้จากขี้ผึ้งซึ่งแพร่กระจายตรงไปยังปอด สามารถกระตุ้นระบบของการทำงานต่างๆ รวมทั้งระบบการหายใจด้วย

น้ำมันหอมเป็นสิ่งที่มีค่ามากและให้ผลทางด้านบวกต่อการทำงานในแต่ละระบบในตัวเรา การบำบัดทางกลิ่นนั้นยังสามารถนำเข้ามาใช้กับทางวิทยาศาสตร์คือ สามารถกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิตบนพื้นฐานของความสวยความงาม และมีผลถึงความซับซ้อนต่างๆ ของระบบ

 

บางกรณีก็ยังสามารถผลักดันให้เรานึกถึงเหตุการณ์และการมีชีวิตที่สดใสในวัยเด็ก และในอดีตได้อย่างแม่นยำ รวมถึงความไวต่อการรับกลิ่นนั้น ถือได้ว่าไม่ใช่เป็นความสามารถเฉพาะบุคคล มันยังเป็นสิ่งซึ่งเกี่ยวกับธรรมชาติที่เรียกได้ว่า "สิ่งที่สามารถยอมรับได้" เช่น ชนเผ่าหนึ่งในสมัยดึกดำบรรพ์ที่เกาะนิวกินี เมื่อเวลาที่พวกเขาต้องลาจากกัน พวกเขาจะปฏิบัติโดยการที่เอามือไปประสานไว้ที่ใต้รักแร้ของกันและกัน จากนั้นก็จะถูและสูดดมกลิ่นซึ่งกันและกัน

แต่ทางตรงกันข้ามในกาลสมัยหนึ่งของญี่ปุ่น บุคคลใดมีกลิ่นตัวแรงถือว่าเป็นบุคคลที่ขาดคุณสมบัติบางประการ จึงไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้ารับการคัดเลือกการเกณฑ์ทหาร

 

ในปัจจุบันน้ำมันหอมระเหยมีอยู่ตามท้องตลาดมากกว่า 50 ชนิด ความลับและมนต์เสน่ห์ของน้ำมันหอมระเหยเหล่านี้  หากเราทำความเข้าใจเรียนรู้สรรพคุณอย่างลึกซึ้งแล้ว ก็จะนำไปสุ่การใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีคุณค่า

 

♦เรียบเรียงบทความ 
"ค้นหาร่างกาย จิตใจและจิตวิญญาณจากกลิ่นบำบัดในอโรมาเทอราปี"
โดยกองบรรณาธิการ
www.YesSpaThailand.com

userfiles/profile-picture/b99c72a5-ad87-48a8-ac36-ac0c76e5eff3/suprem02.jpg

Post : 2013-07-30 18:17:45.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  ผิวสวย...ด้วยสูตรพอกหน้าธรรมชาติ

 

ผิวสวย....ด้วยสูตรพอกธรรมชาติ

 

เพราะการปรนนิบัติผิวหน้า ไม่ได้หมายถึงการล้างหน้าและใช้ครีมบำรุงผิวเท่านั้น แต่สาวๆควรต้องมีการพอกหน้าเพื่อรักษาสภาพผิวสวย พร้อมกับแก้ปัญหาผิวไปพร้อมๆกัน ซึ่งผิวแต่ละประเภทนั้น ก็ต้องใช้วัตถุดิบและสูตรพอกหน้าที่แตกต่าง วันนี้ เลยขอรวบรวมสูตตพอกหน้าที่เหมาะสมกับแต่ละสภาพผิวมาฝากกันน ลองมาดูกันว่า สภาพผิวแบบไหน สูตรพอกหน้าแบบไหน ถึงจะโอเค

 

1. มาส์กแตงกว่าสำหรับผิวแห้ง  นำแตงกวามาฝานเป็นชิ้นบางๆ พอกหน้าพร้อมกับโยเกิร์ตสัก 1 ช้อน ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีแล้วล้างออก แตงกว่าจะช่วยให้ความชุ่มชื้นกับผิว

 

2. มาส์กน้ำผึ้งสำหรับทุกสภาพผิว   ทาน้ำผึ้งบางๆลงบนผิว และทิ้งไว้ประมาณ 5-10จนหน้าเริ่มเหนียวแล้วล้างออก จะช่วยทำให้หน้านุ่มชุ่มชื้น

 

3. มาสก์โยเกิร์ตสำหรับผิวมัน นำโยเกิร์ตครึ่งถ้วยมาผสมกับยีส 1 ช้อนชา จากนั้นนำไปพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 5 นาทีแล้วล้างออก ช่วยลดปัญหาหน้ามันได้

 

200376304-001Peeled banana on plate (c) Amy Neunsinger

200376304-001 Peeled banana on plate (c) Amy Neunsinger

 

4. มาส์กกล้วย  สำหรับชะลอริ้วรอย นำกล้วยบดมาพอกหน้า หรือฝานบางๆ แล้วเอามาวางบนหน้าประมาณ 10 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำอุ่นแล้วเช็ดหน้าให้แห้ง ทำบ่อยๆผิวหน้าจะดูอ่อนวัยขึ้น และนุ่มเนียนขึ้นด้วยละ

 

5.มาสก์อะโวคาโด สำหรับทุกสภาพผิว ฝานอะโวคาโดบางๆแล้วนำมาปั่น ก่อนนำไปวางบนใบหน้า แล้วทิ้งไว้ประมาณ 15 นาทีให้แห้ง จากนั้นล้างออกด้วยน้ำอุ่น

 

6. มาสก์โอ๊ตมีล  สำหรับผิวมัน ผสมโอ๊ตมีล หรือข้าวโอ๊ตกับเบคกิ้งโซดา 1 ช้อนชา และน้ำอีกเล้กน้อย นำมาขัดเบาๆบนใบหน้า จะช่วยลดปัญหาหน้ามันได้จร้า

 

7. มาส์กมะนาว  สำหรับทุกสภาพผิว มะนาวมีคุณสมบัติในการผลัดเซลล์ผิวได้เป็นอย่างดี ให้สาวๆนำมะนาวมาหยดลงในน้ำในอัตรส่วนเท่ากัน แล้วนำไปทาบนใบยหน้า จะทำให้ผิวขายขึ้น ผลัดเซลล์ผิวได้ดี

 

8. มาสก์กล้วยโยเกิร์ตสำหรับผิวแห้ง  ปั่นกล้วยเข้ากับโยเกิร์ต และน้ำผึ้งเข้าด้วยกัน จากนั้นนำมาพอกหน้าประมาณ 15 นาที

 

9. มาสก์แตงกวาสครับ  สำหรับทุกสภาพผิว ปั่นแตงกวา แล้วนำมาผสมกับน้ำตาล จากนั้นนำไปแช่ฟรีสเซอร์ในตู้เย็น  ประมาณครึ่งชม. แล้วนำมาขัดผิวให้เป็นวงกลมไปเรื่อยๆ ประมาณ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ผิวหน้าจะนุ่มชุ่มชื้นได้ดั่งใจ

 

10. คลีนเซอร์องุ่น  สำหรับทุกสภาพผิว ผ่าองุ่น 2-3 ลูกเป็นซีกๆ จากนั้นนำมาทาบนผิวหน้าและริมฝีปาก จากนั้นล้างออกด้วยน้ำเย็นแล้วเช็ดให้แห้ง จะช่วยเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวโดยเฉพาะ ในช่วงหน้าร้อน

 

 

มีสูตรพอกหน้าง่ายๆกันแล้ว สาวๆคนไหน ลองทำแล้วได้ผลยังไง มาเล่าสู่กันฟังได้นะค่ะ ^^

 

ขอบคุณที่มา กระปุกดอทคอม

 

userfiles/profile-picture/b99c72a5-ad87-48a8-ac36-ac0c76e5eff3/suprem02.jpg

Post : 2013-05-25 12:43:47.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  ทำไมต้องเป็น สบู่กลีเซอรีน???

 ทำไมต้องเป็นสบู่กลีเซอรีน 

 

                 เนื่องจากสบู่กลีเซอรีน  เป็นสบู่ที่มีส่วนประกอบของ

 

กลีเซอรีนเป็นสำคัญ  ซึ่งจะมีทั้งแบบใส และขาวขุ่น

 

โดยคุณสมบัติทางธรรมชาติของกลีเซอรีนนั้นจะดูดความชื้นใน

 

อากาศ  บางครั้งอาจเกิดเม็ดละอองน้ำใสๆเล็กๆขึ้นตามเนื้อสบู่

 

ก็ไม่ต้องแปลกใจค่ะ  เป็นเรื่องปรกติของสบู่ประเภทนี้  ไม่ใช่สบู่

 

เสียนะคะ   

 

         สบู่กลีเซอรีนจะมีความอ่อนโยนต่อผิวและให้ความชุ่มชื้นสูง

 

 ไม่ทำให้รูขุมขนอุดตัน   เนื้อสบู่กลีัเซอรีนจะมีความนิ่มกว่าสบู่

 

ทั่วไป  เนื่องมาจากการมีส่วนประกอบหลักสำคัญอย่าง กลีเซอรีน

 

ในปริมาณมากนั่นเอง   ข้อแตกต่างระหว่างสบู่ทั่วๆไปกับสบู่

 

กลีเซอรีน  คือ  สบู่ตามท้องตลาดทั่วไปนั้นมีสารกลีเซอรีนน้อย

 

เนื่องจากกลีเซอรีนนั้นมีราคาสูง ดังนั้นจึงอาจใช้สารเคมีทดแทน

 

ในการชำระล้าง  อย่างเช่น ดีเทอร์เจ้นท์  เพื่อเพิ่มปริมาณฟองใน

 

การทำความสะอาด  และลดต้นทุน  แต่สิ่งเหล่านี้จะทำให้เกิด

 

ความเสียหายแก่ผิวพรรณอย่างมาก     นี่เป็นสาเหตุนึงที่ทำให้สบู่

 

กลีเซอรีนอาจมีราคาสูงกว่าสบู่ทั่วไป  แต่เมื่เทียบกับประโยชน์และ

 

ความปลอดภัยที่ได้รับ ถือว่าคุ้มค่า  และแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

 

 

       สบู่แฮนด์เมด SUPREME (สุพรีม)  จึงเลือกใช้เบสกลีเซอรีน

 

เป็นวัตถุดิบหลัก  อีกทั้งผสานคุณค่าของสารสกัดธรรมชาติ  และ

 

น้ำมันหอมระเหยอย่างดี  เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับประโยชน์และความ

 

ปลอดภัย  อ่อนโยนต่อผิวพรรณ   เพราะ......

 

 

"สุพรีมใส่ใจ  ห่วงใยในสุขภาพ"   

 

 

userfiles/profile-picture/b99c72a5-ad87-48a8-ac36-ac0c76e5eff3/suprem02.jpg

Post : 2013-05-25 11:53:12.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  กลีเซอรีน คืออะไร???

    ความรู้เกี่ยวกับกลีเซอรีน


    กลีเซอรีน เป็นของเหลวที่ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น มีความหนืด และมีรสหวาน โดยปกติมาจากน้ำมันของพืช ซึ่งโดยทั่วไปคือ น้ำมันมะพร้าว และน้ำมันปาล์ม กลีเซอรีนสามารถละลายได้ดีในแอลกอฮอล์และน้ำ แต่ไม่ละลายในไขมัน เนื่องจากกลีเซอรีนมีคุณสมบัติทางเคมีที่หลากหลายจึงสามารถนำไปใช้เป็นสารตั้งต้นในการสังเคราะห์สารเคมีอื่นๆได้

    ด้วยคุณสมบัติที่สามารถละลายในแอลกอฮอล์และน้ำได้นี่เอง จึงนำไปใช้ประโยชน์อย่างกว้างขวาง ซึ่งกลีเซอรีนบริสุทธิ์สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในหลายรูปแบบ เช่น ใช้เป็นส่วนผสมหรือเป็นตัวช่วยในกระบวนการผลิตเครื่องสำอางค์ ผลิตภัณฑ์ในห้องน้ำและสุขอนามัยส่วนบุคคล อาหาร ยาสีฟัน ยาสระผม และนิยมใช้มาหในอุตสาหกรรมสบู่ เพราะกลีเซอรีนเป็นส่วนช่วยหล่อลื่นเหมือนมอยซ์เจอร์ไรเซอร์เพื่อปกป้องผิวไม่ให้แห้งและดูดซับความชื้นเมื่อสัมผัสกับอากาศซึ่งจะทำให้รู้สึกว่าผิวมีความชุ่มชื้น อ่อนโยนต่อผิว ขจัดความสกปรกที่ฝังแน่น ไม่ทำให้อุดตันรูขุมขน รวมทั้งปลอดภัยต่อผิวหนัง

    การที่กลีเซอรีนเป็นสารที่ไม่มีพิษในทุกๆรูปแบบของการประยุกต์ใช้ ไม่ว่าจะใช้เป็นสารตั้งต้นหรือสารเติมแต่ง ทำให้กลีเซอรีนเป็นสารเคมีที่ได้รับความสนใจและนำไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ด้วยการทำยาเหน็บทวาร ใช้เป็นยาระบาย และยังสามารถใช้เป็ฯยาเฉพาะที่สำหรับปัญหาทางผิวหนังหลายชนิด รวมถึง โรงผิวหนัง ผื่น แผลไฟลวก แผลกดทับ และบาดแผลจากของมีคม กลีเซอรีนถูกใช้เพื่อรักษาโรคเหงือกได้ด้วย เนื่องจากกลีเซอรีนสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เกี่ยวข้องได้

กลีเซอรีน (glycerine) อาจจะเรียกได้หลายชื่อ เช่น glycerol, glycerin, หรือ 1,2,3-propanetriol สามารถเขียนสูตรโมเลกุลทางเคมีได้เป็น CH 2 OHCHOHCH 2 OH เป็นสารไม่มีกลิ่น(odorless) ไม่มีสี(colorless) รสหวาน(sweet-tasting) เหมือนน้ำเชื่อม(syrupy liquid) . กลีเซอรีน (glycerine) เป็น trihydric alcohol . หลอมเหลวที่ 17.8?C เดือดและสลายตัว( Boil & decomposition) ที่ 290?C, ละลายในน้ำและ เอทานอล ดูดกลืนน้ำจากอากาศ จึงนำไปทำเป็น moistener ในเครื่องสำอาง กลีเซอรีน จะอยู่นรูปแบบของ (glycerides) ในไขและน้ำมันพืชและน้ำมันสัตว์ 


กลีเซอรีน สามารถสังเคราะห์ได้จาก Propylene และจากการหมักน้ำตาลด้วยsodium bisulfite และยีสต์(yeast) และมีการผลิตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจากกระบวนการผลิตไบโอดีเซล 


กลีเซอรีน ถูกใช้งานอย่างกว้างขวางเป็น สารละลาย(solvent) สารเพิ่มความหวาน(sweetener) เครื่องสำอาง(cosmetics and personal care products) สบู่เหลว(liquid soaps) ลูกอม(candy) สุรา(liqueurs) หมึก(inks) และสารหล่อลื่น(lubricants) เพื่อให้ยืดหยุ่น(pliable) สารป้องกันการแข็งตัว (antifreeze mixtures) เป็นส่วนผสมอาหาร(Food and beverage ingredients ) อาหารสัตว์(Animal feed ) สารปฏิชีวนะ(Antibiotics) ยา (Pharmaceuticals) สารให้ความชุ่มชื้น(moisturizers) น้ำมันไฮดรอลิกส์(Hydraulic fluids) และสารตั้งต้นทางปีโตรเคมีต่างๆ(Polyether polyols, propylene glycol, epichlorohydrin และอื่นๆ)

guest

Post : 2012-10-20 10:19:00.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  กล้วยหอมประโยชน์ครบทุกโภชนการ

 
กล้วยหอมจัดเป็นผลไม้ที่ให้พลังงานได้ดีชนิดหนึ่ง ทานง่ายแถมราคาถูก โปรโยชน์เกินคุ้มการดูแลสุขภาพด้วยการบริโภคกล้วยหอมในเวลาเช้า เพื่อให้พลังงานแก่ร่างกายก่อนจะเริ่มดำเนินหน้าที่ในชีวิตประจำวัน 
 
สารอาหารในกล้วยหอมมี โปรตีน วิตามินเอ ซี สารเพ็กติน ฟอสฟอรัสและแคลเซียม บำรุงสายตา เพิ่มการป้องกันการเกิดโรคต่างๆ ในช่องปาก เป็นตะคริวยาก ลองหันมารับประทานกล้วยเพื่อเพิ่มพลังงานให้ร่างกายกันเถอะ
 
 
 

userfiles/profile-picture/b99c72a5-ad87-48a8-ac36-ac0c76e5eff3/suprem02.jpg

Post : 2012-09-26 17:27:22.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  ประโยชน์ของเปลือกล้วยหอม

    ใครที่ชอบกินกล้วย แล้วอย่าเพิ่งทิ้งเปลือก เพราะ

เปลือกกล้วยก็มีประโยชน์ วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มา

ฝากกัน...

 

      เปลือกกล้วยมีเยื่อเมือก ซึ่งสามารถนำมาใช้

ประโยชน์ได้หลายอย่าง ดังนี้

 

- สามารถนำมาทาผิวให้ความชุ่มชื้น แก่ผิวได้ในหน้าหนาวผิวหนังจะแห้งแตก ใช้เปลือกด้านในนำมาทาถูผิวหนังจะชุ่มชื่น ตึงเรียบเนียน

 

- สามารถนำมาทาถู บริเวณแมลง สัตว์กัดต่อย ลดอาการ บวม แดง คัน ได้

 

- สามารถนำมาหมักผม ขจัดรังแค หนังศรีษะแห้งเป็นขุย ผมแห้งหยาบกระด้าง  นำเปลือกมาขูดเอาเฉพาะเยื่อข้างในเปลือกมาผสมกับน้ำผึ้งให้เป็นเนื้อครีมเข้มข้นหมักเส้นผมไว้ประมาณ 30 นาที แล้วสระผมตามปกติ ก็จะทำให้หนังศรีษะปราศจากรังแค เส้นผมนุ่มสวย

 

- สามารถแก้ปวดเมื่อยได้โดยนำเอาเปลือกไปอังไฟ แล้วนำเอาเปลือกมาประคบบริเวณที่ปวดเมื่อย จะบรรเทาอาการปวดเมื่อยได้

 

- สามารถนำมาถูคราบเขม่าตามหน้าเตาแก๊ส โดยนำเปลือกกล้วยถูบริเวณที่มีคราบเขม่าแล้วนำผ้าแห้งเช็ดถูอีกครั้งจะได้เตาแก๊สที่สะอาดเหมือนใหม่อยู่เสมอ

 

 

ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้.

 

 **วิธีใช้ได้เฉพาะกล้วยหอมนะคะ  แต่บางท่านไม่สะดวก

 

ทางเราก็มีผลิตภัณฑ์ครีมเปลือกกล้วยหอม

 

ที่มีคุณสมบัติเต็มเปี่ยม  เห็นผลใน 3 วัน!!!

 

สนใจรายละเอียดเชิญ  คลิกชมในเพจได้เลยจร้า

 

 

userfiles/profile-picture/b99c72a5-ad87-48a8-ac36-ac0c76e5eff3/suprem02.jpg

Post : 2012-08-22 18:25:50.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  ประโยชน์ของ "ถ่านไม้ไผ่"

กรรมวิธีการผลิตถ่านไม้ไผ่              

              ดูเหมือนกรรมวิธีการผลิตถ่านไม้ไผ่เพื่อสุขภาพจะไม่ยุ่งยาก แต่ในการปฏิบัติจริงนั้นไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะต้องเริ่มตั้งแต่การก่อเตา การนำไม้เข้า การเรียงไม้ การควบคุมอุณหภูมิ ฯ ล ฯ ที่สำคัญที่สุดคือจะต้องเผาที่อุณหภูมิมาก ๆ อย่างต่ำต้อง 1,000 องศาเซลเซียส แต่โดยทั่วไปควรจะต้องสูงถึง 1,000 องศาเซลเซียส แต่โดยทั่วไปควรจะต้องสูงถึง 1,500 หรือ 1.700 องศาเซลเซียส องศาเซลเซียส

 

 

 

ถ่านที่ได้เรียกว่า ถ่านขาว หรือ “White Charcoal” ซึ่งก็มีสีดำสนิทเหมือนถ่านทั่ว ๆ ไปนั่นเอง แต่ถ่านขาวหรือถ่านเพื่อสุขภาพซึ่งต้องเผาที่อุณหภูมิสูง ๆ และมีคุณภาพดีนั้น จะต้องไม่หนักหรือเบาเกินไป เมื่อเคาะถ่านจะมีเสียงดังกังวานคล้ายเสียงเคาะกระเบื้องเคลือบดินเผา เพราะมีความบริสุทธิ์ของธาตุคาร์บอนสูง เมื่อหักดูจะเห็นสีดำเป็นมันวาว และเมื่อใช้นิ้วถูรอยหัก จะไม่มีสีดำของถ่านติดนิ้วมือเลย ส่วนผิวถ่านอาจจะมีสีดำบ้างเล็กน้อย แต่ถ่านจะต้องไม่บวมพอง ไม่บิดเบี้ยวคดงอ ต้องคงรูปของวัตถุดิบเดิม คือ ลำไม้ไผ่อย่างชัดเจน

 

 

ถ่านที่ว่านี้มีความพรุนในระดับที่พอเหมาะพอควร สามารถปลดปล่อยประจุลบ ซึ่งจะเปลี่ยนอนุมูลอิสระให้เป็นออกซิเจน หากเข้าไปในร่างกายก็จะทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนเพิ่มขึ้น ทำให้การไหลเวียนของระบบโลหิตในร่างกายและระบบการหายใจดีขึ้น สมองปลอดโปร่ง ส่งผลดีต่อร่างกายและจิตใจ

 

 

ในตลาดปัจจุบันได้มีผลิตภัณฑ์จากถ่านไม้ไผ่ บันตัน  มากมายหลายรายการ ยกตัวอย่างดังนี้  

 

 

หมอนถ่านไม้ไผ่ มีคุณสมบัติในการดูดซับกลิ่น และความชื้น ให้ประจุลบและรังสีอินฟราเรด ช่วยให้ผ่อนคลาย สดชื่นและการไหลเวียนของเลือดดีขึ้น

 

 

สบู่ถ่านล้างสารพิษ : มีคุณสมบัติ สำหรับใช้ชะล้างสิ่งสกปรก ดูดสารพิษในรูขุมขน ขจัดเซลล์ที่ตาย ลดความมัน กำจัดเชื้อแบคทีเรีย ลดการเกิดสิว บำรุงผิวให้สดใส และนุ่มเนียน

 

 

สบู่เหลวธรรมชาติถ่านไม้ไผ่ :  มีคุณค่าในการบำรุงผิวเพราะอุดมด้วยวิตามินและคุณสมบัติของประจุลบในถ่านไม้ไผ่ ช่วยชำระล้างสิ่งสกปรก สารพิษ สารเคมีในรูขุมขน ขจัดเซลล์ที่ตาย รวมทั้งความมัน เชื้อแบคทีเรีย และลดการเกิดสิว

 

 

แชมพูถ่านไม้ไผ่น้ำแร่ :  มีคุณสมบัติ ช่วยดูดซับสิ่งสกปรก ความมันส่วนเกินของเส้นผมและหนังศีรษะ กระตุ้นการไหลเวียนของเลือดบนหนังศีรษะ และเพิ่มการบำรุงด้วยน้ำแร่ ทำให้เส้นผมและหนังศีรษะมีสุขภาพดีขึ้น 

สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้

ถ่านไม้ไผ่ ที่เผาด้วยอุณหภูมิมากกว่า 1000 องศาเซลเซียส สามารถปลดปล่อยประจุลบ ( Negative

 Ions.) และอินฟาเรดยาว ที่ฃ่วยต้านอนุมูลอิสระ มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย อุดมด้วยแร่ธาตุหลายชนิด

ในประเทศญี่ปุ่นใช้ถ่านไม้ไผ่เป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพอย่างกว้างขวาง

 

ผงถ่านไม้ไผ่ : ที่เป็นส่วนผสมที่สำคัญของสบู่ถ่านไม้ไผ่ “ บันตัน ” จะทำหน้าที่ :-


• ดูดซับเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วและไขมันที่อุดตันอยู่ตามรูขุมขน ลดปัญหากลิ่นตัว


• ดูดซับสารพิษ และขัดผิว ขจัดฝุ่นละอองที่ติดอยู่ตามผิวหนัง


• Negative Ions. และอินฟาเรดยาว มีคุณสมบัติทำลายเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราบนผิวหนัง


• แร่ธาตุ แคลเซี่ยม แมกเนเซี่ยม โพทัสเซี่ยม และอื่น ๆ ช่วยให้ผนังเซลล์ผิวหนังแข็งแรง บำรุงเซลล์ผิวหนัง

ช่วยดูแลผิวหนังให้สดใส
 

userfiles/profile-picture/b99c72a5-ad87-48a8-ac36-ac0c76e5eff3/suprem02.jpg

Post : 2012-08-22 18:02:35.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  ประโยชน์ของ "กวาวเครือขาว"

 ชื่อวิทยาศาสตร์ของกวาวเครือขาวคือ  : Pueraria candollei Grah. ex Benth var

mirifica (Shaw & Suvat.) Niyomdham

ประกอบด้วยสาร : miroestrol,daidzein ,genistin,puerarin , deoxymiroestrol เป็นต้น

 

      ต้นกวาวเครือขาวมีลักษณะเถาและมีใบคล้ายถั่วแปบหรือถั่วพลู  ออกดอกเป็นช่อสี

ม่วง  มีฝักเล็กแข็ง มีขนแข็ง คล้ายฝักถั่วแระ เมื่อฝักแก่และแห้งก็จะแตกกระจายเมล็ดลงสู่พื้น เพื่อแพร่พันธุ์ต่อไป

 

     กวาวเครือขาวมีหัวอยู่ที่ปลายรากกลมบ้างยาวรีบ้าง อายุยิ่งมากหัวก็ยิ่งโตและมีสารที่

มีประโยชน์มากขึ้น  หัวกวาวเครือขาวจะขุดไปใช้ได้ก็ต่อเมื่อใบร่วงหมดแล้ว  กวาวเครือ

ขาวนิยมปลูกกันมากทางภาคเหนือ

 

    สารที่ออกฤทธิ์สำคัญที่พบในหัวกวาวเครือขาวเป็นสารที่ออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอส

โตรเจนในเพศหญิงได้แก่ miroestrol และ deoxymiroestrol ซึ่งมีฤทธิ์แรง  เป็นสารที่มี

ฤทธิ์เหมือนฮอร์โมนเพศหญิงจึงช่วยกระตุ้นลักษณะความเป็นผู้หญิงออกมา เช่นหน้าอก

ขยายใหญ่  หน้าอกของผู้หญิงจะขยายใหญ่ขึ้นขนาด 0.5-1 นิ้วในระยะเวลา 2-3 เดือน

กระบวนการที่ทำให้หน้าอกขยายจะดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ จนถึงระดับหนึ่งที่เมื่อหน้าอก

กระชับแล้วกระบวนการนี้ก็จะสิ้นสุดลง

 

    นอกจากนี้สาร miroestrol ยังช่วยทำให้ผิวพรรณสดใส ทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่นกลับเต่ง

ตึงมีน้ำมีนวล ลดรอยเหี่ยวย่นเนื่องจากสาร miroestrol จะไปกระตุ้นการทำงานของระบบ

ฮอร์โมนในร่างกาย  ส่งผลให้มีการเพิ่มเส้นใย คอลลาเจน ทำให้ผิวพรรณบริเวณใบหน้า

และร่างกายเกิดความเปล่งปลั่ง เนียนนุ่ม  ช่วยลด สิว ฝ้า กระ จากฮอร์โมนที่ขาดสมดุล

กวาวเครือขาวจะช่วยสมานริ้วรอยบนใบหน้าจากความแห้งกร้าน ทำให้ผิวผุดผ่องขาว

เนียนดังธรรมชาติเนื่องจากกวาวเครือขาวนั้นอุดมไปด้วยวิตามินจากธรรมชาติอย่างมาก

มาย

 

     กวาวเครือขาวมีสรรพคุณเป็นประโยชน์กับเพศหญิงโดยเฉพาะ ดังนี้

- ทำให้ผิวพรรณเต่งตึง ลดริ้วรอยเหี่ยวย่นบนผิวกาย และลดเลือนริ้วรอยบนใบหน้า

 

- กวาวเครือขาวช่วยให้ผมขาวกลับคืนสภาพปรกติ และลดการหลุดร่วงของเส้นผม

 

- กวาวเครือขาวสามารถช่วยขยายทรวงอกให้ใหญ่ขึ้นและทรวงอกที่หย่อนคล้อยจะกลับ

มาเต่งตึง

 

- สตรีที่มีปัญหาปวดประจำเดือน และประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ เมื่อรับประทานกวาว

เครือขาวแล้วจะทำให้ประจำเดือนมาเป็นปรกติ

 

- กวาวเครือขาวจะทำให้ร่างกายสดชื่น คลายเครียด และนอนหลับสบาย

 

- เมื่อรับประทานกวาวเครือขาวเป็นประจำจะชะลอความแก่ และเป็นสมุนไพรอายุวัฒนะ

 

- ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งในทรวงอก และมะเร็งในมดลูก (จากการวิจัยของโรง

พยาบาลพระมงกุฎ และได้รับการยอมรับจากนักวิชาการของกระทรวงสาธารณสุข  กรม

วิทยาศาสตร์การแพทย์ สถาบันแพทย์แผนไทยและสถาบันมะเร็งแห่งชาติ)

 


userfiles/profile-picture/b99c72a5-ad87-48a8-ac36-ac0c76e5eff3/suprem02.jpg

Post : 2012-08-22 17:49:40.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  ประโยชน์ของ "มะละกอ"


          รู้ไหมว่ามะละกอที่เรานิยมชมชอบรับประทานนั้นมีประโยชน์ใช้สอยมากมาย ทุกส่วน

ของมะละกอเป็นยาที่นำมาใช้ดูแลรักษาสุขภาพของเราในชีวิตประจำวันได้ คนไทย

ผูกพันกับมะละกอมานานกว่า 200 ปี จนเรานึกว่าเป็นพืชท้องถิ่นในบ้านเราไปแล้ว และ

ยังมีส้มตำมะละกอเมนูของความอร่อยตอกย้ำความเชือนี้ และคนไทยแทบทุกบ้านจะ

ปลูกมะละกอไว้เป็นอาหาร จนกลายเป็นพืชริมรั้วที่เจนตาอีกชนิดหนึ่ง เพือให้คนไทยได้

นำทุกส่วนของมะละกอไปใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างคุ้มค่า จึงได้รวบรวมประโยชน์ใช้สอ

จากมะละกอมาไว้ให้ท่านได้ศึกษาเรียนรู้ตามการใช้ แบบภูมิปัญญาชาวบ้าน


         
 เมื่อมีอาการปวดตามข้อและหลัง รับประทานมะละกอสุกเป็นประจำป้องกันและ

บำบัดโรคปวดข้อปวดหลังได้ ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ ไม่มีแรง ใช้รากมะละกอตัวผู้แช่

เหล้าขาวให้ท่วมยาไว้ 7 วัน และกรองเอาน้ำใช้ทาแก้ปวดข้อและกล้ามเนื้อเปลี้ยอ่อน

แรง ลดอาการปวดบวม ให้เอาใบมะละกอสดย่างไฟหรือลวกกับน้ำร้อนแล้วประคบ

บริเวณที่ปวด หรือตำพอหยาบห่อด้วยผ้าขาวบางทำเป็นลูกประคบ   

 

          แก้เคล็ดขัดยอก ใช้รากมะละกอสดตำให้แหลกผสมเหล้าโรงพอก ถ้าโดนตะปู

ตำเป็นแผล ให้เอาผิวลูกมะละกอดิบตำพอกแผล เปลี่ยนยาวันละ 2 ครั้ง แผลน้ำร้อนลวก

ใช้เนื้อมะละกอดิบต้มให้สุกจนเปือย ตำพอกที่แผล แผลพุพอง ใช้ใบมะละกอแห้งกรอบ

บดเป็นผง ผสมกับน้ำกะทิพอเหนียวข้น ใช้พอกหรือทาที่แผลวันละ 2-3 ครั้ง แก้ผดผืน

คัน ใช้ใบมะละกอ 1 ใบ น้ำมะนาว 2 ผล เกลือ 1 ช้อนชา ตำรวมกันให้ละเอียดเอาทั้งน้ำ

และเนื้อทาแผลบ่อยๆ กลาก เกลื้อน ฮ่องกงฟุตหรือเท้าเปือย ใช้ยางของลูกมะละกอดิบ

ทาวันละ 3 ครั้งฆ่าเชื้อราได้    



          โดนหนามตำหรือหนามหักคาเนื้อใน ให้บ่งปากแผลเปิดออก เอายางมะละกอ

ดิบใส่หนามจะหลุดออก เท้าบวม เอาใบมะละกอสดตำให้แหลกผสมกับเหล้าขาว ใช้

พอกเท้าที่บวมลดอาการบวมลงได้ คันเพราะพิษของหอยคันซึ่งจะเป็นตุ่มคัน ให้ใช้ยาง

มะละกอดิบทาเช้า-เย็นจนหาย    


          ไข้เปลี่ยนฤดู ใช้ใบมะละกอสด 1 กำมือ ตำพอแหลกผสมเหล้าขาว 3 ช้อนแกง

คั้นเอาน้ำรับประทาน อาการไข้ขึ้นสูง ใช้เนื้อมะละกอดิบต้มให้สุกจนเปือย ใช้พอกที่

ศีรษะเวลาไข้ขึ้นสูง ดืมน้ำต้มมะละกอตาม ช่วยให้ไข้ลดลงได้ดี ถ้าเป็นไข้หวัดก็ต้อง

ส้มตำมะละกอเพิ่มความเผ็ดอีกหน่อย ไล่หวัดได้ดีทีเดียว ถ้าเป็นโรคในระบบทางเดิน

หายใจ ใช้ดอกมะละกอสดหรือแห้งต้มใส่น้ำตาลพอหวาน กรองเอาน้ำรับประทานครั้งละ

1 แก้ว เป็นหืดระยะเริ่มแรก ใช้ใบมะละกอต้มน้ำดืม อาการหืดจะหายไป    



          ร้อนใน ใช้รากมะละกอ 1 คืบ ต้มกับน้ำซาวข้าวรับประทานครั้งละ 1 ถ้วยกาแฟ

ถ้าเป็นโรคริดสีดวงทวาร ท้องผูก ธาตุพิการอาหารไม่ย่อย ท้องผูก เสียดท้อง เบาหวาน

รับประทานมะละกอสุกจนนิ่มหลังอาหารเป็นประจำทุกวันอย่างต่อเนืองจะค่อยๆ หายไป

เอง นิ่ว ใช้รากมะละกอตัวผู้ 1 กำมือต้มเอาน้ำดืมแทนน้ำชา จะช่วยขับนิ่วออกมา  

 

 

 

          ขับพยาธิ ใช้เม็ดมะละกอแห้งคั่วบดเป็นผง ละลายน้ำผึ้งปั้นเป็นลูกกลอน

ขนาดลูกมะเขือพวง รับประทานเช้าเย็นครั้งละ 2-3 เม็ด หรือใช้ยางมะละกอสด 1

ช้อนแกง ไข่ไก่ 1 ฟอง ผสมกันแล้วทอดให้สุก รับประทานตอนท้องว่างในเวลา

เช้า ลูกอัณฑะโต ใช้ลูกมะละกอดิบเผาไฟให้ร้อนจัด ห่อด้วยผ้าหนาๆ ใช้นาบคลึง

บนหน้าท้องบริเวณหัวหน่าว เมือความร้อนของมะละกอลดลงให้ผ่าครึ่งตามความ

ยาวเอาเมล็ดออก แล้วใช้ประกบที่ลูกอัณฑะจนมะละกอเย็น ทำวันละ 1 ครั้ง

ติดต่อกัน 3 วันจะหาย  

  

          เลิกบุหรี่ ใช้ใบมะละกอแก่ๆ หั่นเป็นฝอยมากน้อยตามต้องการ นำไปตาก

แห้ง แล้วใช้ผสมยาเส้นมวนเป็นบุหรี่สูบ จะช่วยให้เลิกบุหรี่ได้ ปวดประสาท ใช้ใบ

มะละกอสดย่างไฟหรือจุ่มน้ำร้อนใช้ประคบบริเวณที่ปวด ขับประจำเดือน ใช้เมล็ด

แก่ๆ คั่วให้กรอบแล้วบดเป็นผง 2 ช้อนชาผสมกับเหล้าขาว 3 ช้อนโต๊ะ รับประทาน

เช้า-เที่ยง-เย็น ช่วยขับเลือดประจำเดือนเสียและอาการปวดท้องจะหายไป  

  

          ลบรอยด่างดำต่างๆ ที่ไม่พึงปรารถนาบนผิวหนังและใบหน้า ใช้มะละกอสด

ตำพอกบ่อยๆ หรือน้ำคั้นจากมะละกอสุกใช้ทาลบรอยฝ้าแดด ฝ้าลมให้จางหาย

หรือใช้ยางจากลูกมะละกอสดทาเป็นประจำวันละ 2-3 ครั้งจนหาย แก้หูด ให้

สะกิดหัวหูดให้เปิดแล้วเอายางมะละกอทาวันละ 2-3 ครั้งจนหาย ลบรอยส้นเท้า

แตก ใช้ยางจากลูกสดทาจนหาย ถ้าเป็นสิวก็ใช้ยางแต้มที่หัวสิว    



          หรือรับประทานมะละกอสุกเป็นประจำ แก้อาการท้องผูกและช่วยในการ

ระบาย ซึ่งสาวๆ ที่ลดความอ้วนมักนิยมทาน และเมือทานเป็นประจำจะช่วยบำรุง

ให้ผิวพรรณให้สวย บ้างก็ใช้เนื้อที่สุกพอกหน้าเพือลดจุดด่างดำและผลัดเซลล์ผิว

ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น มะละกอสุกมีคุณค่าทางโภชนาการที่สำคัญ เช่น มีเส้นใย

อาหารที่ช่วยในการขับถ่าย มีวิตามินเอบำรุงสายตา มีธาตุเหล็กบำรุงเลือด มี

แคลเซียมบำรุงกระดูก มีสารเพ็กตินที่เคลือบกระเพาะอาหาร ปัจจุบันมีการสกัด

สารสำคัญจากมะละกอสุกไปใช้ทำเครืองสำอางและส่วนผสมในเครือ งสำอาง

ต่างๆ มากมาย ล้างลำไส้ ขจัดไขมันในผนังลำไส้ ให้ทำชามะละกอดืมเป็นประจำ

โดยเอามะละกอดิบปอกเปลือกล้างน้ำให้สะอาดหั่นเป็นชิ้นๆ ต้มจนน้ำเดือด อาจ

ปรุงแต่งรสด้วยใบเตยหรือเก๊กฮวยตามชอบ แล้วกรองเอาแต่น้ำไปชงกับใบชา แช่

ไม่เกิน 3 นาที กรองเอาน้ำเก็บไว้ดืม และควรงดอาหารประเภทผัดทอดหรือของ

มัน จะช่วยให้ลำไส้สะอาดดูดซึมอาหารได้ดีขึ้น    

 

userfiles/profile-picture/b99c72a5-ad87-48a8-ac36-ac0c76e5eff3/suprem02.jpg

Post : 2012-08-22 17:26:04.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  มหัศจรรย์แห่งทับทิม ประโยชน์มากมาย

 มหัศจรรย์แห่งทับทิม ประโยชน์มากมาย


ทับทิม มีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า Punica granatum L.
วงศ์ Punicaceae ภาษาอังกฤษเรียก Pomegranate

ชาวเชียงใหม่และภาคเหนือทั่วไปเรียก มะก้อ ชาวน่านเรียก มะก่องแก้ว ชาวแม่ฮ่องสอนเรียก หมากจัง ชาวหนองคาย และภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่วนใหญ่เรียก พิลา ชาวจีนเรียก เซี๊ยะลิ้ว ชาวสเปนเรียก Granada ส่วนชาวอินเดียเรียก Darim

ทับทิมเป็นไม้พุ่ม ขนาดกลาง สูงประมาณ 4-6 เมตร ทรงพุ่มโปร่ง มีหนามแหลมตามกิ่งก้าน ใบเดี่ยวขนาดเล็ก รูปใบยาวปลายแหลม ยาว 3-4 เซนติเมตร ดอกสีแดงหรือสีขาว

ผลค่อนข้างกลม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 6-10 เซนติเมตร เมื่อแก่จัดเปลือกผลสีเหลืองอมแดงหรือน้ำตาลอมส้ม ผิวมักแตกออกเห็นเมล็ดใสอยู่ภายในมากมาย เมล็ดมีเนื้อใสสีแดงหรือสีชมพูหุ้มอยู่แยกแต่ละเมล็ด เนื้อทับทิมมีน้ำมาก รสหวานหรือเปรี้ยวอมหวาน

ส่วนที่เรียกทับทิมหนูเป็นทับทิมเช่นกันแต่ต่างสายพันธุ์ สูงเต็มที่ไม่เกิน 120 เซนติเมตร มีดอกสีแดงตลอดปี นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ

ทับทิม มีถิ่นกำเนิดบริเวณรอยต่อของเอเชียตะวันตกกับตอนบนของเอเชียใต้ คือบริเวณตะวันออกของประเทศอิหร่าน ทางตอนใต้ของอัฟกานิสถานและทางตอนเหนือของเทือกเขาหิมาลัย ทับทิมคงเป็นพืชที่ได้รับความนิยมมากว่าพันปีแล้ว จึงมีการปลูกแพร่กระจายออกไปทั้งในเขตร้อน (tropical) และกึ่งร้อน (Sub-tropical) ของทวีปเอเชีย ยุโรป รวมทั้งในทวีปแอฟริกาด้วย

ทับทิม มีบทบาทอย่างมากในตำนานต่างๆ ของหลายประเทศ เป็นสัญลักษณ์ของการเกิด ความสามารถในการเจริญพันธุ์ ชีวิตชั่วนิรันดร์ และความตาย เพราะทับทิมมีเมล็ดมากมาย

     ชาวกรีกใช้ทับทิมในงานแต่งงานเป็นสัญลักษณ์ของการดำรงเผ่าพันธุ์
     ชาวยิวถือว่าทับทิมเป็นผลไม้ศักดิ์สิทธิ์
     ชาวฮินดูเชื่อ ว่า ทับทิมเป็นผลไม้โปรดของพระพิฆเณศจึงนิยมนำผลทับทิมไปถวาย และใช้ดอกทับทิม บวงสรวงบูชาพระอาทิตย์ พระนารายณ์ และเทวีลักษมี อีกด้วย
     ชาวจีน ถือว่าต้นทับทิมเป็นไม้มงคลโดยเฉพาะทับทิมชนิดดอกสีขาวและเป็นสัญลักษณ์แห่ง ความอุดมสมบูรณ์ ความมีลูกหลานมากมายเนื่องจากผลทับทิมมีเมล็ดมาก กิ่งใบทับทิมเป็นไม้มงคลที่ใช้ทุกงาน มีการปักยอดทับทิมไว้ที่สิ่งของเซ่นไหว้เจ้า ใช้พรมน้ำมนต์และมีไว้ติดตัวเพื่อคุ้มครองกันภัย

ทับทิมมีเมล็ดมาก จึงสื่อนัยถึงการมีบุตรชายหลายคน ในพิธีแต่งงานชาวจีนจะปักยอดทับทิมไว้ที่ผมเจ้าสาว และให้ผลทับทิมเป็นของขวัญแก่บ่าวสาว

นอกจากนี้ชาวจีนยังมีความเชื่อว่า ใบหรือกิ่งทับทิมมีอำนาจไล่ภูตผีปีศาจได้ จึงนิยมปลูกทับทิมไว้บริเวณบ้าน และใช้ใบทับทิมแช่น้ำล้างหน้า ล้างมือ หลังกลับจากงานศพเพื่อมิให้วิญญาณติดตามเข้ามาในบ้าน

ส่วนชาวญี่ปุ่นเชื่อว่า เด็กที่กินผลทับทิมจะปลอดภัยจากภูตผีปีศาจทั้งปวง

ทับทิม ชอบอากาศหนาว ถ้าอยู่ในที่อากาศหนาวเนื้อทับทิมจะมีสีแดงเข้มมากขึ้น คงจะตอบคำถามของผู้อ่านได้แล้วว่าทำไมทับทิมจากประเทศจีนจึงมีเมล็ด สีแดงสวยงาม

   ประโยชน์   

     เมล็ดทับทิมเป็นผลไม้มีรส หวานหรือเปรี้ยวอมหวาน น้ำคั้นจากเมล็ดทับทิมมีกลิ่นหอมชวนดื่ม ประกอบด้วยน้ำตาลและกรดที่เป็นประโยชน์ รวมถึงวิตามินเอ ซี อี ธาตุเหล็ก แคลเซียมและแมกนีเซียม ซึ่งเป็นธาตุสำคัญที่ร่างกายต้องการ

     ทับทิมถูกใช้เป็นยาพื้นบ้านของชาวอิหร่านและอินเดียมาแต่โบราณ น้ำต้มเปลือกทับทิมใช้แก้เจ็บคอ ยาพอกจากใบใช้พอกหนังศีรษะลดอาการผมร่วง น้ำคั้นเมล็ดทับทิมใช้ลดความร้อนในร่างกาย เชื่อว่าช่วยล้างระบบต่างๆ ของร่างกายและเหมาะสำหรับสตรีมีครรภ์อีกด้วย

      ชาวอาหรับใช้เปลือกรากทับทิมสดๆ ต้มน้ำ ดื่มถ่ายพยาธิตัวตืด เปลือกจากลำต้นทับทิม ต้มน้ำใช้ถ่ายพยาธิชนิดต่างๆ ร่วมกับยาถ่าย ใช้เปลือกผลทับทิมผสมกานพลูและฝิ่นรักษาโรคบิดและท้องร่วงอย่างแรง

     ชาวอินเดียใช้น้ำคั้นจากผลทับทิมและดอกทับทิม ปรุงยาธาตุ ใช้สมานลำไส้ และแก้ท้องเสีย เมล็ดทับทิมใช้บำรุงหัวใจ

     ประเทศไทย แพทย์แผนโบราณใช้ทับทิมทั้งต้นหรือที่เรียกทับทิมทั้งห้าเป็นยาระบาย หรือถ่ายพยาธิเส้นด้ายและตัวตืด

     
เปลือก ราก และเปลือกต้นมีฤทธิ์ฝาดสมาน ใช้ถ่ายพยาธิตัวตืด พยาธิไส้เดือน พยาธิเส้นด้าย

     ใบ ใช้ สมานแผล แก้ท้องร่วง น้ำต้มใบใช้อมกลั้วคอ ทำยาล้างตา

     ดอก ใช้ห้ามเลือด

     เปลือกผลใช้สมานแผล แก้บิด แก้ท้องร่วง

     ส่วนเนื้อหุ้มเมล็ด มีวิตามินซีสูงแก้โรคลักปิดลักเปิด และใช้แก้กระหายน้ำ

      สังเกตได้ว่าชาวไทยใช้ประโยชน์จากทับทิมด้านสมุนไพรมากกว่าชาติอื่นๆ

     ประโยชน์ทางเภสัชวิทยาที่ค้นพบในปัจจุบัน

     ระยะนี้น้ำทับทิมได้รับความนิยมอย่างมากในต่างประเทศ เนื่องจากมีคุณค่าอย่างสูงต่อการดูแลสุขภาพน้ำทับทิม 1 แก้วมีวิตามินซีร้อยละ 40 ของความต้องการของผู้ใหญ่ใน 1 วัน และมีวิตามินเอ อี และกรดโฟลิกปริมาณสูง น้ำทับทิมที่ผลิตในเชิงธุรกิจจะรวมน้ำคั้นเปลือกผลไว้ด้วย

     ชาวบาบิโลเนียในอดีตเชื่อว่าทับทิมเป็นผลไม้ที่ช่วยให้สามารถฟื้นคืนกำลัง ปัจจุบันงานวิจัยมากมายได้สนับสนุนความเชื่อโบราณนี้

      
การดื่มน้ำคั้นจากทับทิมวันละแก้ว จะช่วยส่งเสริมการทำงานของหลอดเลือด ลดการแข็งของหลอดเลือดแดง และมีสุขภาพหัวใจที่ดีขึ้น และมีผลดีอื่นๆ ต่อสุขภาพ

   คุณค่าสารต้านอนุมูลอิสระ   

      น้ำทับทิมมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระดีมาก เกิดจากจากสารกลุ่มโพลีฟีนอลและแอนโทไซยานินปริมาณสูงที่พบในน้ำทับทิม ปริมาณเท่ากัน
น้ำทับทิมมีฤทธิ์ต้านต้านอนุมูลอิสระเป็น 3 เท่าของไวน์แดงและชาเขียว และสูงกว่าน้ำบลูเบอร์รี น้ำแครนเบอร์รี น้ำองุ่นสีม่วง และน้ำผลไม้ชนิดอื่น

     จากการศึกษาวิจัยพบว่าเปลือก ทับทิมมีสารกลุ่มแทนนินสูงถึงร้อยละ 22-25 โดยประกอบด้วยสารกลุ่มแกลโลแทนนิน (gallotannin) และเอลลาจิแทนนิน (ellagitannin) ปริมาณสูง เปลือกทับทิมตากแห้งใช้เป็นยาแก้ท้องเดินและโรคบิดได้ สารกลุ่มเอลลาจิแทนนิน มีคุณสมบัติเป็นตัวต้านอนุมูลอิสระที่ดี

     
คุณค่าต่อระบบไหลเวียนเลือด ลดความดันเลือด ป้องกันและรักษาโรคหลอดเลือดแข็งตัวและโรคหลอดเลือดอุดตัน

     ป็นที่ทราบกันดีว่าสารโพลีฟีนอลมีความสามารถยับยั้งปฏิกิริยาต้านอนุมูลอิสระ ของไขมันไม่ดี หรือแอลดีแอล-คอเลสเตอรอล (LDL-C, low densitylipoprotein cholesterol) ลดการสร้างโฟมเซลล์ และลดการแข็งตัวของหลอดเลือด

    กลุ่มวิจัยไลพิดของอิสราเอลทำงานวิจัยเกี่ยวกับสรรพคุณของน้ำทับทิมที่มีผลต่อโรค หลอดเลือดแข็งตัว พบว่าสารโพลีฟีนอลจากน้ำทับทิมป้องกันไขมันไม่ดีจากปฏิกิริยาต้านอนุมูล อิสระของเซลล์ได้ 2 วิธี คือ โพลีฟีนอลจากทับทิมเข้าทำปฏิกิริยากับไลพิดโปรตีนโดยตรง

     อีกวิธี คือโดยการสะสมของโพลีฟีนอลในมาโครฟาจ ของหลอดเลือด พบว่าโพลีฟีนอลจากทับทิมลดความสามารถของมาโครฟาจในการออกซิไดซ์ไขมันไม่ดี โดยทำปฏิกิริยากับโมเลกุลไขมันไม่ดี เพื่อหยุดยั้งปฏิกิริยาต้านอนุมูลอิสระดังกล่าว และยังสะสมในมาโครฟาจในหลอดเลือด ทำให้หยุดยั้งปฏิกิริยาไลพิดเพอร์ออกซิเดชั่น และการสร้างมาโครฟาจที่อุดมไปด้วยไลพิดเพอร์ออกไซด์

     นอกจากนี้ สารโพลีฟีนอลในน้ำทับทิมยังเพิ่มการทำงานของเอนไซม์พาราออกโซเนสในพลาสม่า ป้องกันไม่ให้ไขมันไม่ดีถูกออกซิไดซ์ ทำให้เกิดการแตกตัวของไลพิดเพอร์ออกไซด์ในไลโพโปรตีนที่ถูกออกซิไดซ์ไปแล้ว และในรอยเกาะของไขมันที่ผนังหลอดเลือด เมื่อหนูที่มีไขมันเกาะผนังหลอดเลือดได้รับสารจากน้ำทับทิม พบว่าเกิดการหยุดสร้างรอยแผลจากการเกาะของไขมันขึ้นใหม่อีกด้วย

      การศึกษาทางคลินิกพบว่าน้ำทับทิมมีผลดีต่อการป้องกันการเกิดโรคหัวใจ น้ำทับทิมลดความข้นของเลือดจากภาวะไขมันสูง งานวิจัยชิ้นหนึ่งกล่าวว่าน้ำทับทิมเป็นเครื่องดื่มที่ช่วยให้เลือดสูบฉีดไป ยังหัวใจได้ดีขึ้น โดยลดความหนาของผนังหลอดเลือดคาโรติด ช่วยการทำงานของไนตริกออกไซด์ทำให้กล้ามเนื้อเรียบผ่อนคลาย ลดภาวะการแข็งตัวของหลอดเลือดจากไขมันในเลือดสูง ลดความดันเลือดหยุดการสะสมไขมันและสลายไขมันสะสมที่หลอดเลือดด้วย

      อนุมูลอิสระเป็นตัวทำให้คอเลสเตอรอลมีการเปลี่ยนแปลงโดยปฏิกิริยาต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งคอเลสเตอรอลที่เปลี่ยนแปลงนั้นจะไปเร่งการแข็งตัวของหลอดเลือด น้ำทับทิมช่วยลดปฏิกิริยาต้านอนุมูลอิสระลงได้ครึ่งหนึ่ง สามารถลดปริมาณไขมันไม่ดีหรือคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีที่ทำให้เกิดหลอดเลือดอุด ตันซึ่งนำไปสู่อาการโรคหัวใจ 
นอกจากนี้น้ำทับทิมยังลดปริมาณพลัค (plaque) ในหลอดเลือดแดงใหญ่ และเพิ่มปริมาณคอเลสเตอรอลดีอีกด้วย

      เมื่อเร็วๆ นี้ ผู้วิจัยทำการทดลองในหนู พบว่าน้ำทับทิมลดการสะสมของไขมันบนผนังหลอดเลือด และหยุดการแข็งตัวของหลอดเลือดที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติได้ และเชื่อว่าน้ำทับทิมประมาณ 1 แก้วจะช่วยชะลอการแข็งตัวของหลอดเลือดในผู้ป่วยระยะต้นได้

      แพทย์ที่สหรัฐอเมริกาเห็นด้วยว่าน้ำทับทิมสามารถใช้เป็นส่วนหนึ่งของการกินอาหาร เพื่อสุขภาพและการออกกำลัง แต่น้ำทับทิมเพียงอย่างเดียวไม่สามารถป้องกันหรือรักษาโรคหัวใจได้

   คุณค่าด้านป้องกันและรักษามะเร็ง   

     น้ำทับทิมมีผลลดการเกิดมะเร็งเต้านม มะเร็งผิวหนัง งานวิจัยพบว่าน้ำ
ทับทิมสดและน้ำทับทิมที่ผ่านการหมักมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญ เติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านมและมะเร็งผิวหนัง เชื่อว่าสารที่ออกฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็งเต้านมจำนวนหนึ่งมี ฤทธิ์เป็นเอสโทรเจนจากพืช

      สารกลุ่มเอลลาจิแทนนินจากเปลือกผลทับทิมมี ฤทธิ์ต่อต้านการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งกว่า 13 ชนิด ได้แก่ มะเร็งผิวหนัง มะเร็งลำไส้ มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งตับ เป็นต้น

      เอลลาจิแทนนินเป็นสารโพลีฟีนอลสำคัญที่พบอยู่ในน้ำทับทิมปริมาณมาก เมื่อผ่านเข้าสู่ร่างกายจะถูกเปลี่ยนสภาพเป็นกรดเอลลาจิกซึ่งจะถูกแบคทีเรีย ในร่างกายมนุษย์เปลี่ยนเป็นอนุพันธ์ของสารยูโรลิทินเอ (urolithin A derivative) ต่อไป

     ในสัตว์ทดลองพบว่าหนูทดลองที่ได้รับสารสกัดเข้มข้นของน้ำทับทิมมีการสะสมสารยูโรลิทินเอมากในอัณฑะ ลำไส้ใหญ่และลำไส้เล็ก

     งานวิจัยเดียวกันในห้องทดลองพบว่ากรดเอลลาจิก และยูโรลิทินเอ ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งอัณฑะมนุษย์ คณะผู้วิจัยคิดว่าน้ำทับทิมมีฤทธิ์ป้องกัน การเกิดมะเร็งอัณฑะด้วย

      นอกจากนี้ สารดังกล่าวมีคุณสมบัติทำลายเซลล์มะเร็งหลอดอาหารและลำไส้ใหญ่ พบว่าเมื่อให้กรดเอลลาจิกกับสัตว์ทดลองที่ทำให้เกิดมะเร็ง สารดังกล่าวจะทำให้เซลล์มะเร็งถูกทำลายโดยกลไกการแตกตัวของตัวมันเองได้

   คุณค่าป้องกันตับ   

     รายงานการทดลองเพิ่มเติมพบว่าเมื่อให้สารจากทับทิมกับหนูทดลอง ก่อนที่จะให้สารพิษคาร์บอนเตตราคลอไรด์เพื่อทำให้เกิดพิษต่อตับ พบว่าหนูที่ได้รับสารจากทับทิมมีฤทธิ์ป้องกันการเป็นพิษต่อตับได้จริง

   คุณค่าลดอาการอักเสบ   

      เป็นที่ทราบกันว่าเอลลาจิแทนนินจากเปลือกผลทับทิมมีสรรพคุณลดอาการอักเสบ แพทย์ทางเลือกที่สหรัฐอเมริกามีการใช้สารสกัดน้ำทับทิมรักษาโรคที่เกิดจาก การอักเสบ เช่น โรคข้อรูมาตอยด์แล้ว

      การทดลองในกระต่ายที่มลรัฐ โอไฮโอ สหรัฐอเมริกา ปี พ.ศ.2551 พบว่า เมื่อให้น้ำสารสกัดทับทิมกับกระต่าย ทำให้พลาสม่าจากกระต่ายหลังได้รับสารสกัดน้ำทับทิม มีปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าพลาสม่าที่ตรวจวัดก่อนได้รับสารสกัดดัง กล่าวอย่างมีนัยสำคัญ

      การทดลองต่อมาพบว่า สารสกัดน้ำทับทิมลดการทำงานของโปรตีนที่เป็นสาเหตุของการอักเสบอย่างมีนัย สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเอนไซม์ไซโคลออกซีไฮดรอจิเนส-2 และพบว่าพลาสม่าของกระต่ายที่ได้รับสารสกัดน้ำทับทิมลดการทำงานของเอนไซม์ไซ โคลออกซีไฮดรอจิเนส-1 และ 2 ในหลอดทดลองได้ และสารสกัดจากน้ำทับทิมยังลดการสร้างสารก่อให้เกิดการอักเสบ (pro-inflammatory compounds) โดยเซลล์จากกระดูกอ่อนด้วย งานวิจัยดังกล่าวจึงให้ข้อมูลสนับสนุนการใช้น้ำทับทิมในการรักษาโรคจากการ อักเสบข้างต้นเป็นอย่างดี

   คุณค่าป้องกันโรคกระดูกพรุน   

      พบน้ำทับทิมมีผลหยุดการทำงานของเอนไซม์ที่ทำลายกระดูกอ่อนในห้องทดลอง จึงต้องรอให้มีการศึกษาผลของการบริโภคน้ำทับทิมว่ามีผลทำให้อัตราการเสื่อม ของกระดูกอ่อนลดลงหรือไม่

   คุณค่าอื่นๆ   

      
น้ำทับทิมมีคุณสมบัติทำให้ผิวหน้าเต่งตึงได้ ใช้น้ำทับทิมประมาณ 1 ช้อนชาทาบนใบหน้า ทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น นอกจากนี้การดื่มน้ำทับทิมยังช่วยให้ผิวสวยจากภายใน โดยคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระจะป้องกันผิวจากการทำลายของรังสีอัลตราไวโอเลต อีกทั้งเสริมสุขภาพโครงสร้างเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังชั้นนอกด้วย

      เชื่อกันว่าน้ำทับทิมบรรเทาอาการแพ้ท้องในสตรีมีครรภ์ ปรับฮอร์โมนวัยหมดประจำเดือน เสริมสุขภาพทางเพศให้ท่านชาย ช่วยบำบัดโรคเบาหวาน และป้องกันโรคความจำเสื่อมในผู้สูงอายุ ถ้ามีข้อมูลด้านงานวิจัยสนับสนุนความเชื่อเหล่านี้จะได้นำมาเสนอในโอกาสต่อไป



       ดื่มน้ำทับทิมวันละผลไม่ต้องไปหาหมอ (คั้นสดวันละ 50-100 มิลลิลิตร หรือน้ำทับทิมเข้มข้นวันละ 1 ช้อนโต๊ะ)





ที่มา ... หมอชาวบ้าน


1